วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

 ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงความต่างกันของพระพุทธเจ้าไว้ ๘ ประการ คือ
๑. พระชนมายุ
๒. พระสรีระ
๓. ระยะเวลาในการบำเพ็ญเพียรชาติสุดท้าย
๔. พระฉัพพรรณรังสี
๕. ตระกูล
๖. ยานที่เสด็จออกมหาภิเนษกรม
๗. ไม้พระศรีมหาโพธิ์
๘. อปราชิตบัลลังก์
          ไม่ปรากฏเลยว่า พระไตรปิฎกจุดใดกล่าวว่า พระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ทรงมีปัญญา, ศรัทธา, วีริยะ มากกว่าพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น นั่นแสดงว่าพระมหากรุณาธิคุณ พระวิสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ แห่งองค์สมเด็จพระทศพลต้องเสมอกันแน่
          หลักฐานมีอยู่ในคำแปลพระธารณปริตร เช่น พระญาณที่เป็นไปในส่วนอดีต อนาคต ปัจจุบัน แห่งพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีเครื่องปกปิดกั้น พระญาณที่เป็นไปในส่วนอดีต อนาคต ปัจจุบัน แห่งพระพุทธเจ้านั้น ทรงมีพระญาณเป็นเครื่องนำเป็นไปตามลำดับพระญาณ ความเสื่อมถอยลงแห่งพระพุทธประสงค์ ความเสื่อมถอยลงแห่งการแสดงธรรม ความเสื่อมถอยลงแห่งความเพียร ความเสื่อมถอยลงแห่งวิปัสสนาญาณ ความเสื่อมถอยลงแห่งสมาธิ ความเสื่อมถอยลงแห่งวิมุตติในอรหัตผล ย่อมไม่มีแก่พระพุทธเจ้า ฯลฯ หรืออาจกล่าวได้ว่า นอกจากความต่างกันด้วยเหตุ ๘ ประการดังกล่าวนั่นแล้ว พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงดำเนินไปตามธรรมเนียมแห่งพุทธวงศ์ตามจริยาของพระพุทธเจ้าในอดีต
          อย่างที่รู้กันอยู่ว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่ ๓ ประเภทด้วยกัน พระปัญญาธิกพุทธทรงมีปัญญาเป็นตัวนำในการสร้างบารมี พระสัทธาธิกพุทธทรงมีศรัทธาเป็นตัวนำในการสร้างบารมี พระวีริยาธิกพุทธ ทรงมีวีรียะเป็นตัวนำในการสร้างบารมี จะเห็นได้ว่าในสมัยที่พระองค์เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์นั้น ปัญญาก็ดี ศรัทธาก็ดี วีริยะก็ดี ของพระพุทธองค์ไม่เสมอกัน แต่เมื่อถึงสมัยพุทธภูมิของพระองค์ และได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ปัญญา ศรัทธา วีริยะของพระพุทธองค์กลับเสมอกัน ไม่เหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากันแม้แต่น้อย
          และนั่นคือเหตุผลที่พระโพธิสัตว์ใช้เวลาสร้างบารมีเพื่อตรัสรู้ไม่เท่ากัน เพราะการตรัสรู้เป็นพุทธะทั้ง ๓ (หมายถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอนุพุทธเจ้า{พระสาวกผู้ตรัสรู้ตาม}) นั้น คัมภีร์วิสุทธิมรรคกล่าวว่า ปัญญากับศรัทธาต้องมีเสมอกันไว้ วีริยะกับสมาธิต้องมีเสมอกันไว้ ส่วนสตินั้นยิ่งมากยิ่งดี (เพราะเมื่อมีสติเต็ม ๑๐๐ % จะบรรลุอรหันตผล และเหตุนี้เองพระโพธิสัตว์จึงเจริญสมถกรรมฐานมากกว่าวิปัสสนาญาณ ในหนังสือภาวนามัยของท่านพระโสภณมหาเถระกล่าวว่า พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงบรรพชาในศาสนาของพระพุทธเจ้าในอดีต เจริญวิปัสสนาญาณจนบรรลุญาณสูงสุดของปุถุชนเพียง ๑๑ อัตภาพเท่านั้น 'จำนวนอัตภาพอาจจำพลาดต้องขออภัย' เหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่พระโพธิสัตว์ต้องเจริญสมถ กรรมฐานมากกว่าวิปัสสนาญาณ คือ ชาติที่จะรับคำพยากรณ์ ต้องถึงพร้อมด้วยธรรมสโมธาน ๘ ประการ หนึ่งในแปดนั้นคือ ต้องเป็นเชี่ยวชาญในอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘) จึงจำต้องมีการปรับอินทรีย์ทั้ง ๕ ให้สมดุลกัน มิเช่นนั้นจะไม่สามารถตรัสรู้เป็นพุทธะทั้ง ๓ ได้เลย
          อินทรีย์ ๕ ประกอบด้วย สัทธินทรีย์(ศรัทธา) วีริยินทรีย์(วีริยะ) สตินทรีย์(สติ) สมาธินทรีย์(สมาธิ) ปัญญินทรีย์(ปัญญา) (หากมีโอกาสจะนำเรื่องราวของท่านผู้มีอินทรีย์แต่ละตัวแก่กล้าเกินไป ว่าจะมีผลเป็นเช่นไรมาเล่าให้ฟัง)
          แน่นอนว่าการที่บุคคลคนหนึ่งมีปัญญาหย่อนกว่าอีกคนหนึ่ง ก็ต้องใช้เวลาขัดเกลาอบรม ฝึกฝน เพิ่มพูลให้ปัญญาสมดุลกับศรัทธา และวีริยะที่ตนมีอยู่นั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราท่านทั้งหลายก็ไม่ควรปรามาสพระโพธิสัตว์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งว่ามีปัญญาหย่อนกว่า อีกพระองค์หนึ่ง เพราะต่อให้เป็นพระปัญญาธิกะ แต่ไม่ปรับปัญญาของตนให้สมดุลกับศรัทธา หรือมีวีริยะหย่อมไปแล้วไซร้ ระยะกาลที่จะตรัสรู้นั้นอาจล่าช้าออกไปก็เป็นได้ ด้วยเหตุผลที่ได้อธิบายมาแล้ว 
          หรืออาจเป็นด้วยกำลังอธิษฐานของพระโพธิสัตว์เองก็เป็นได้ว่า จะขอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะพุทธ สัทธาธิกะพุทธ วีริยาธิกะพุทธ ก็ได้ใครจะรู้ เพราะยิ่งระยะเวลาที่สร้างบารมียิ่งมากเท่าใด พระองค์ก็จะทรงรื้อขนสัตว์ออกจากวัฎฎะสงสารได้มากยิ่งขึ้นไปด้วย สมดังพระพุทธองค์กล่าวว่าพุทธวิสัย(วิสัยแห่งพระพุทธเจ้า)เป็นอจินไตย บุคคลอื่นนอกจากพระพุทเจ้ามิอาจเข้าใจได้
          สรุป ผมไม่ฟันธงลงไปว่าความจริงจะเป็นไปตามนี้ เป็นแต่เพียงความคิดเห็นจากผู้สนใจศึกษาเรื่องนี้คนหนึ่งเท่านั้น ท่านทั้งหลายมีอะไรจะชี้แนะตรงจุดที่ผิดพลาด หรืออยากชี้แจงจุดที่ขาดหายไปเพื่อให้กระทู้นี้สมบูรณ์ ถูกต้องมากขึ้นก็จะขอขอบคุณ และอนุโมทนาล่วงหน้า เอวังกิ่ม 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น